ความสวยความงามของสาวๆ เรานั้นสามารถสร้างเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่แต่เดิมได้ ยาย้อมสีผมหรือเปลี่ยนสีผมต่างๆ ก็เช่นกัน เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราดูดีขึ้นไปอีกได้ ไม่ว่าจะย้อมเพื่อการเปลี่ยนสีผมเล่นๆ เพื่อความสวยงาม หรือจะเพื่อการปกปิดผมขาว หรือจะเป็นการย้อมเพื่อปกปิดความเสียหายของเส้นผมเนื่องจากการจัดแต่งทรงผมที่ผ่านมาก็ตาม แต่ทุกวันนี้สาวๆ จะเห็นว่ามีผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมจำนวนมากมายในท้องตลาด มากมายจนเลือกแทบไม่ถูก ลองดูกันดีกว่าว่ามันมีกี่ประเภท และต่างกันอย่างไร จะได้ไม่ต้องเกิดอาการ คนสวยงง อีกต่อไปนะคะรูปแบบของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์มีหลายรูปแบบ เราจึงต้องเลือกให้ถูกต้อง นั่นหมายถึงว่าเหมาะกับเราที่เป็นผู้ใช้งาน ถ้าไปอยู่ที่อื่นก็อาจจะให้ความสนใจน้อยกว่านี้ได้อยู่หรอก แต่นี่จะต้องมายุ่งเกี่ยวกับศีรษะเราเสียด้วย ใครมองมายังหน้าสวยๆ ก็ต้องเห็นผมด้วยเป็นของคู่กัน เลยต้องเลือกกันให้มากสักหน่อย
1. แบบครีมและน้ำ
เป็นแบบที่มีเครื่องมือสำหรับทา-ใส่น้ำยามาด้วย เพื่อทำให้สามารถใส่น้ำยาได้ทั่วเส้นผมตั้งแต่รากผมและทั้งศีรษะ แบบที่เป็นครีมมักจะมีความข้นเหนียวมากกว่าในขณะที่ทั้งสองแบบอาจจะถูกออกแบบให้ใส่ได้เลยจากปลายขวด
2. แบบโฟม
เป็นแบบที่ใช้ได้ง่ายกว่า ไม่หยดหกเปรอะเปื้อน และเนื่องจากมีความข้นต่ำกว่าแบบครีมหรือน้ำ ทำให้สามารถแทรกซอนเข้าไปถึงโคนรากผมได้ง่ายกว่า ทำให้การย้อมให้ทั่วถึงทำได้ง่ายกว่า วิธีการใช้จะเหมือนกับการสระผมด้วยแชมพู คือขยี้ลงบนผมเหมือนสระผมให้ทั่วเท่านั้นก็ใช้การได้แล้วค่ะ
ความทนทานของการย้อม
นอกจากสี รูปแบบของน้ำยาย้อมผมเองแล้ว ก็ยังมีเรื่องของความทนทานในการย้อมอีก แหม ช่างรู้ใจสาวๆ อย่างเราจริงๆ นะคะว่าบางทีเราก็แค่อยากจะย้อมสีผมทำสวยแปลกๆ เล่นๆ เป็นบางทีโดยไม่อยากให้อยู่ถาวรทนนานหลายเดือนนัก จึงมีเรื่องของความทนทานถาวรของสีย้อมให้เราต้องเลือกอีกค่ะ
1. แบบถาวร (Permanent)
เป็นแบบที่สาวๆ ควรพิจารณาเลือกใช้ในกรณีที่ต้องการปกปิดสีผมขาว หรือต้องการทำให้สีผมอ่อนจางลง หรือต้องการเปลี่ยนสีผมไปจากธรรมชาติเดิมมากๆ อย่างชัดเจน สาวๆ อาจจะใช้ยาย้อมผมแบบนี้หากต้องการเปลี่ยนสีผมไปไม่มากนักก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่ายาย้อมผมแบบนี้จะจัดการกัด ฟอก เปิดเกล็ดผม เรียกว่าค่อนข้างทำการรุนแรงต่อเส้นผม ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับเส้นผมที่แห้งแตกและเสียหายอยู่แต่เดิม ยาย้อมผมแบบนี้จะเปลี่ยนเม็ดสีตามธรรมชาติของผมเราด้วย และจะเป็นสีนั้นอยู่นานกว่ายาย้อมผมประเภทกึ่งถาวร ซึ่งทำให้สาวๆ ต้องคอยย้อมสีผมส่วนที่งอกขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีสีเข้ากันกับส่วนที่เหลือนะคะ
2. แบบกึ่งถาวร (Demi-permanent)
อาจจะฟังดูแปลกสักหน่อยเพราะในบ้านเรามักไม่แยกออกมาให้ชัดเจนนักและมักปะปนกัน ยาย้อมผมแบบนี้เรียกว่า Demi-permanent (ต่างจากแบบชั่วคราวที่เรียกว่า Semi-permanent) ยาย้อมแบบนี้จะมีสารเคมีส่วนทำการกัดสีผมเป็นด่างแทนที่จะเป็นแอมโนเนีย จึงมีประสิทธิภาพด้อยกว่าแบบถาวร แต่ก็ทำลายเส้นผมน้อยกว่า ดังนั้นมันจะไม่สามารถย้อมผมให้สีอ่อนลงได้ อย่างไรก็ตาม ยาย้อมผมแบบนี้สามารถปิดผมขาวได้ดีกว่าแบบกึ่งถาวร (แต่ย่อมสู้แบบถาวรไม่ได้)
3. แบบชั่วคราว (Semi-permanent)
ถ้าสาวๆ ต้องการเพียงปกปิดผมขาวที่เพิ่งเกิดแซมขึ้นมาไม่มากนัก (แต่ถ้าขาวมาก และจำนวนมาก อาจจะไม่เพียงพอต่อการปิดบังได้) หรือเมื่อต้องการทำให้สีผมตามธรรมชาติที่เป็นเด่นชัดขึ้น น้ำยาเปลี่ยนสีผมแบบกึ่งถาวรน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ยาย้อมผมแบบนี้จะมีขนาดของเม็ดสีย้อมเล็กกว่าแบบชั่วคราวซึ่งมีความดีอีกอย่างหนึ่งคือ มันจะเคลือบสีลงบนเส้นผมไว้โดยที่ไม่ทำให้สีซีดลงและไม่เปลี่ยนเม็ดสีตามธรรมชาติของเส้นผมและมักจะไม่มีการล้างสีผมเดิมออก ทำให้ปลอดภัยต่อเส้นผมที่เปราะบาง หรือเป็นเส้นผมที่เสียหาย และด้วยความเป็นกึ่งถาวรเท่านั้น หลังจากสระผมไปสัก 4-5 ครั้ง สีก็จะจางลงๆ ไปแล้วล่ะ
4. แบบชั่วครู่
แบบนี้ก็ไม่ทราบจะเรียกว่าแบบไหนเหมือนกันนะคะ เพราะดูแล้วไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าเป็นยาย้อมผมได้หรือเปล่า เพราะเพียงแต่สระแค่ครั้งเดียวก็สามารถชะล้างออกไปได้ พวกนี้จะมีขนาดของเม็ดสีที่ใหญ่ ไม่สามารถซึมลงไปในเส้นผมได้ ได้แค่เกาะอยู่รอบๆ นอก อาจจะอยู่ในรูปของสเปรย์ แชมพู ครีม เจล ก็ได้ มักจะมีสีที่ฉูดฉาดมาก เหมาะกับการใช้เพื่องานรื่นเริงเพียงชั่วคราว แต่ใครที่มีเส้นผมที่เสียหายมาก หรือเรียกว่าเกล็ดผมแตกออก เม็ดสีของยาย้อมผมแบบนี้ก็อาจจะซึมเข้าในเส้นผม ทำให้ไม่สามารถสระออกได้ง่ายก็มีค่ะ
หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว สาวๆ คงพอรู้เรื่องเกี่ยวกับยาย้อมผมดีขึ้น และสามารถเลือกใช้งานได้ถูกต้องนะคะ ในบทความหน้า เราจะมาดูว่า การย้อมผมนั้นมีผลเสียอะไรบ้าง แล้วคอยพบกันนะคะ