Wish-cycler คืออะไร

wish-cycler คืออะไร

เดี๋ยวนี้นอกจากเรื่องของสารพัดโรครวมทั้งไวรัส Covid-19 ที่กำลังกระจายแพร่พันธุ์สร้างความกังวลให้เราแล้ว ยังมีเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เราต้องดูแลกันอีกด้วยนะคะ  การช่วยกันดูแลสภาพแวดล้อมนั้นนอกจากเราสามารถช่วยกันได้ด้วยการไม่สร้างมลภาวะ ช่วยกันปลูกต้นไม้ ช่วยกันใช้ของที่ไม่ต้องทิ้งบ่อยๆ (การใช้ถุงผ้าที่ใช้ซ้ำได้ก็เป็นหนึ่งในนั้น) ก็ยังรวมถึงการนำของที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ด้วย

ของที่สาวๆ เราสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้มีหลากหลายรูปแบบนะคะ ก่อนจะคิดเรื่องการนำของไปรีไซเคิล (recycle) ก็ยังมีการ รียูส (reuse) คือใช้ซ้ำด้วย การใช้ซ้ำนี่เป็นการประหยัดและช่วยสิ่งแวดล้อมเอามากๆ เลยล่ะ ตัวอย่างเช่นถ้าเราใช้แก้วน้ำ ถ้วย ช้อน พลาสติก เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งไป กับถ้าเราเอามาใช้ซ้ำสักสองหรือสามรอบ เพียงเท่านี้เราก็ประหยัดพลังงาน ประหยัดเม็ดพลาสติกที่จะต้องทำภาชนะพวกนั้นขึ้นมาใหม่ได้ตั้งสองสามเท่าแล้ว โดยไม่ต้องลงแรงอะไรนักจริงไหมคะ (เอ่อ... ก็ลงแรงล้างมันหน่อยนั่นแหละค่ะ อิอิ)

ทีนี้ถ้าเราใช้ของเหล่านั้นจนคุ้มและสาแก่ใจแล้ว (ไปแค้นใครมาเนี่ย) เราก็คงต้องจำยอมโยนทิ้งไป เมื่อก่อนเราก็อาจจะเพียงรวมๆ ใส่ในถุงขยะรวมกับของอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นเศษอาหาร เศษผ้า สิ่งต่างๆ ที่เอาไปวนใช้รีไซเคิลไม่ได้ แต่ถ้าเราแยกมันออกจากกัน แล้วรวมสิ่งที่สามารถเอาไปรีไซเคิลได้ไว้ในถุงหนึ่ง เอาไปโยนลงถังขยะรีไซเคิล เขาก็จะเอาชิ้นส่วนที่เราใช้แล้วไปหลอม ละลาย ปลุก ปั้น ฉีด เป่า จนเป็นของใช้ใหม่ๆ ให้เราใช้ได้อีกโดยไม่ต้องไปขุดทรัพยากรออกมาจากใต้โลกนี้มากนัก

ทีนี้มันก็มีเรื่องตรงที่ว่า บางทีสาวๆ เรา (หนุ่มๆ ด้วยแหละ ตัวดี แอบนินทาเสียเลย) เกิดความไม่แน่ใจว่าของอะไรมันจะรีไซเคิลได้ไหม หลังจากยืนงงๆ นั่งมึนๆ กับการแยกขยะ แล้วเราก็จับของที่ไม่แน่ใจนั่นโยนใส่กองรีไซเคิลไป โดยหวังว่ามันน่าจะถูกเอาไปรีไซเคิลได้ หรือแบบ เอาน่ะ ถ้าไม่ได้ประเดี๋ยวคงมีใครสักคน เครื่องจักรสักชนิด มาจับแยกออกไปจากของที่รีไซเคิลจริงๆ ได้ ว่าแล้วก็ โล่งอก การทำอย่างนั้นทำให้เราที่เป็นสาวสวย กลายเป็นสาวสวยและเป็น Wish-cycler ไปด้วยในตัว (แง..)

อ๊ะ! แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นการทำร้ายอุตสาหกรรมการรีไซเคิลได้เลยทีเดียว เพราะความเป็นจริงแล้ว "ใครสักคน" หรือ "เครื่องจักรสักชนิด" ที่จะแยกของที่รีไซเคิลไม่ได้ออกทิ้งไปนั้น "ไม่มี" หรือไม่ก็ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะทำได้ ทำให้การรีไซเคิลวัสดุต่างๆ เป็นไปได้ด้วยความยาก ลำบาก กล้ำกลืน ฝืนทน (อันนี้เพื่อให้เห็นภาพเท่านั้น อิอิ) ดังนั้นที่จริงแล้ว ถ้าเราไม่แน่ใจว่าอะไรรีไซเคิลได้จริงๆ แล้ว เราควรโยนมันลงไปในถังขยะประเภท "ขยะธรรมดา" นะคะ อย่าไปใส่ในถังรีไซเคิลนะคะสาวๆ

สรุป

- คำว่า wish-cycling คือการที่คนเราเอาของทิ้งไปในถังขยะประเภทรีไซเคิลได้ โดยหวังว่ามันจะถูกรีไซเคิลได้จริงๆ และแม้แต่ไม่ได้ก็หวังว่าจะมีคนแยกมันออกไปได้ (ซึ่งไม่ได้) โดย wish ก็แปลว่า "หวัง" นั่นเอง
- ถ้าเราไม่แน่ใจว่าของใดจะถูกรีไซเคิลได้จริงๆ แล้วเราโยนผิดลงไปในถังรีไซเคิล เราก็จะกลายเป็น wish-cycler ไปในบัดดล
- ถ้าไม่มั่นใจว่าของใดจะรีไซเคิลได้จริงๆ ขอให้ใส่ลงในถังขยะธรรมดาค่ะ

การรับมือกับ Covid-19


ห่างหายไปนานมาก มากๆ และมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามทีมงานยังคิดถึงเพื่อนๆ สาวๆ และลูกค้าทุกท่านอยู่เช่นเคยนะคะ ที่หายไปอาจจะเรียกได้ว่าเพราะการงาน หน้าที่ ทำให้ต้องห่างไป แต่ตอนนี้กลับมาแล้วและจะอยู่เป็นเพื่อนกันต่อไป จังหวะที่กลับมานี้อาจจะเรียกได้ว่า กลับมาเมื่อชาติต้องการก็คงจะดูไม่แปลกสักเท่าไรนะคะ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาทีเรียกว่าเป็น "วาระแห่งโลก" ของเราเลยก็ได้ เนื่องจากเจ้าไวรัสวายร้าย โควิด-19 นี่เอง
เพื่อนสาวๆ คงได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าไวรัสนี้มาบ้างแล้ว แต่ก็ขอถือโอกาสสรุปให้เพื่อนๆ อ่านง่ายๆ อีกครั้งหนึ่งนะคะ

1) ไวรัส เป็นสิ่งไม่มีชีวิต มันไม่สามารถหาอาหาร สร้างพลังงาน เก็บพลังงาน และเติบโตได้เอง ต้องอาศัยการเกาะกับเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อเป็นฐาน "ทำสำเนา (copy)" ตัวเอง ก่อนที่จะทำลายเซลล์ที่มันเกาะ (ตัวที่ถูกทำสำเนาก็จะไปเกาะเซลล์ใหม่ต่อไป)
2) ที่เราเรียกว่า โคโรนาไวรัส เพราะเมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์จะเห็นโมเลกุลของโปรตีนโผล่ออกมารอบๆ ตัวมันเหมือนมงกุฎ (corona แปลว่า มงกุฏ)
3) ว่ากันว่า Covid-19 นี้ เกิดจากสัตว์สู่สัตว์ สัตว์สู่คน และคนสู่คน
4) Covid-19 ไม่ใช่ของเกิดใหม่ ญาติผู้ใหญ่ของมันคือ SARS ในจีนเมื่อปี 2003 และ MERS ในแถบตะวันออกกลางเมื่อปี 2012
5) ไวรัส Covid-19 ติดต่อจากคนสู่คนได้ง่ายกว่าไข้หวัดธรรมดาราว สองเท่าตัว
6) สาเหตุที่ติดต่อง่าย เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา แยกไม่ออก (หรือได้ยาก ได้ช้า) ว่าไวรัสนี้เป็นสิ่งแปลกปลอม
7) ระยะฟักตัวของ Covid-19 อาจจะนานได้ถึง 14 วัน
8) ไวรัสจะแพร่กระจายได้ต้องอยู่ในสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ถ้ามันอยู่ในอากาศมันจะเสื่อมสภาพได้ในเวลาไม่กี่นาที
9) บางคนที่แข็งแรงอาจจะไม่แสดงอาการอะไรมาก แต่ยังสามารถแพร่ไวรัสไปยังคนอื่นได้
10) Covid-19 เป็นไวรัสแบบมีเกราะรอบตัวที่เป็นไขมัน การล้างมือด้วยสบู่ที่ทำลายไขมันได้จะทำให้ "เกราะแตก" และไวรัสหมดสภาพ ไปทำอันตรายกับเซลล์ไหนไม่ได้อีก (เราไม่เรียกว่าตาย เพราะมันไม่มีชีวิตตั้งแต่ต้น)
11) อาการเมื่อได้รับเชื้อไวรัสนี้ เป็นได้ตั้งแต่ไม่มีอาการอะไร จนถึงเป็นไข้ไอเล็กน้อย ไปจนปอดอักเสบ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและเสียชีวิต
12) ผู้ที่มีความเเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงคือ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน และ/หรือ โรคเกี่ยวกับปอด
จากข้อมูลต่างๆ ที่เรารู้เกี่ยวกับมัน ทำให้เราสู้กับมันได้ง่ายขึ้น จริงไหมคะ เรียกว่า รู้เรื่องของศัตรูตัวนี้เป็นอย่างดี สิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อหยุดยั้งมันโดยหลักการคือ

"(คิดเสียว่าเรามีเชื้อ เพราะอาจจะไม่แสดงอาการอะไรเลยก็ได้) ไม่เอาเชื้อไปติดใคร ไม่ให้ใครเอาเชื้อมาติดเรา และไม่ทำให้ใครติดเชื้อกัน"

โดยการ
1) กินอาหารแยกกัน ของใครของมัน ชุดใครชุดมัน และล้างจานแยกกันให้สะอาด
2) อยู่ห่างกันให้มากกว่า 2 เมตร (ที่เรียกว่า Social Distancing)
3) ล้างมือบ่อยๆ อย่าจับสิ่งของต่างๆ โดยไม่จำเป็น (ราวเปิดประตู, ราวบันได, ปุ่มกดลิฟต์, ปุ่มโทรศัพท์สาธารณะ เป็นต้น)
4) ใส่หน้ากาก (mask) ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และซักหน้ากาก ตากแดดอย่างสม่ำเสมอ
5) ทำความสะอาดเสื้อผ้าทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน
6) อย่ารวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน ชิดกัน หลายคน โดยเฉพาะในที่อับอากาศ (ห้องแอร์ ลิฟต์) ยิ่งห้องเล็ก และอยู่นาน ยิ่งอันตราย
7) ถ้าไม่แน่ใจว่าได้รับเชื้อ ให้ติดต่อขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาจจะต้องกักตัวเองเพื่อไม่ให้ไปติดคนอื่นในระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 14 วัน)

ถ้าเราทำได้ ไวรัสก็จะค่อยๆ ถูกกักเอาไว้ และหมดสภาพไปในอากาศบ้าง ในคนที่ได้รับเชื้อแต่ไม่แสดงอาการก็จะมีภูมิคุ้มกันและหยุดแพร่เชื้อ คนที่หายป่วยก็จะมีภูมิคุ้มกันและหยุดแพร่เชื้อเช่นกัน  สุดท้ายก็คือจะไม่ติดต่ออย่างรุนแรงอีกต่อไป เรื่องนี้ต้องอาศัยการช่วยเหลือกันของทุกๆ คน เพราะอย่างที่เล่าให้ฟังแต่แรกคือ มันเป็นวาระแห่งโลกเลยก็ว่าได้ เพราะ ณ วันที่เขียนบทความนี้อยู่ ก็มีคนเสียชีวิตจาก Covid-19 กว่าหกหมื่นคนไปแล้ว (60,887 คน) และถ้าเราควบคุมมันได้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นโรคหวัดตามฤดูกาลไป

แอดมินขอให้เพื่อนสาวๆ ทุกคน รวมทั้งญาติพี่น้องเพื่อนฝูงปลอดภัยและผ่านมันไปด้วยกันนะคะ

ถ่ายรูปอาหารลดน้ำหนัก

ถ่ายรูปอาหารลดน้ำหนัก

อ่านหัวข้อแว่บๆ ไม่ได้หมายความว่าให้เอาอาหารที่กล่าวอ้างว่าสามารถลดน้ำหนักได้มาวางไว้แล้วถ่ายรูปหรอกนะคะ แต่หมายถึงว่าในการรับประทานอาหารมื้อใหญ่แสนอร่อยของคุณทุกครั้ง ให้จัดการถ่ายภาพเอาไว้ เสร็จแล้วจะเอาไปลงเฟสบุ้ค อินสตาแกรม หรืออะไรก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเขียนรายการที่รับประทานเข้าไปเอาไว้ด้วย จะให้ดีก็เขียนปริมาณแคลอรีและจำนวนก้าวของการเดินที่จะเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไปนั้นให้หมดลงไปด้วย เสร็จแล้วก็อ่านสักสองรอบ (ฟังดูออกซาดิสม์อย่างไรก็ไม่รู้นะคะ แต่ว่าเพื่อตัวเพื่อนๆ เองนะคะคิกๆ)  การทำอย่างนี้เป็นประจำจะเป็นการเตือนตัวเองว่าสิ่งที่เรากินเข้าไปนั้นมันมากเกินกว่าที่เราต้องการสักเท่าไร คราวต่อไปจะได้คอยยับยั้งชั่งปากของตัวเองก่อนการสั่งอาหารหรือรับประทานเข้าไป เย้! ความผอมจะมาเยือนพวกเราเร็วๆ นี้แล้วค่ะ

เดินเล่นลดหุ่นกันดีกว่า

เดินเล่นลดหุ่นกันดีกว่า
เรื่องรูปร่างของเราทุกคนเป็นเรื่องสำคัญ ที่ว่าสำคัญก็ไม่ใช่แต่เพียงความสวยงามเท่านั้นนะคะ แต่เป็นเรื่องของสุขภาพด้วย คนที่มีน้ำหนักเกิน มีรอบเอวกว้างใหญ่เกินไป ก็มีความเป็นไปได้ในการมีโรคภัยคุกคามมากกว่าผู้ที่มีรูปร่างปกติสมส่วน

ปกติแล้วเราสามารถควบคุมรูปร่างหรือน้ำหนักได้หลายวิธี วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการจำกัดปริมาณอาหารที่เรารับประทานเข้าไป รองลงมาก็คือการออกกำลังกายให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากกว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไป แต่มีอีกกิจกรรมหนึ่งที่เรามักจะคิดไม่ถึงว่าสามารถช่วยได้ไม่น้อยก็คือการเดิน การเดินที่ว่านี้ก็คือการเดินหลังจากการรับประทานอาหารนี่ล่ะ เมื่อทานอิ่มแล้วก็ออกเดินเล่นสัก 10 นาที ทำแบบนี้ให้ได้ทั้งสามมื้ออาหาร คิดไปคิดมาก็วันละครึ่งชั่วโมงแล้วล่ะจริงไหมคะ

การเดินจะทำให้ร่างกายดึงเอากลูโคลสและพลังงานอื่นๆ ออกมาใช้ ทำให้ไขมันและน้ำตาลถูกกำจัดออกไปบ้าง ไม่สะสมเพิ่มมากมายในตัวเรา ยิ่งเดินมากขึ้นก็ยิ่งได้ผลดีขึ้น วิธีนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือคนที่มักจะต้องนั่งติดโต๊ะทำงานอยู่ตลอดเวลา ก็หาเวลาเดินให้มากสักหน่อยแทนค่ะ

จุกเสียดแน่นท้องอาจจะเป็นปัญหาหญ้าปากคอก

จุกเสียดแน่นท้องอาจจะเป็นปัญหาหญ้าปากคอก

หลายครั้งผู้หญิงเราอาจจะมีรูปร่างไม่สวยเป๊ะเหมือนกับบรรดานางแบบหรือนางเอกละครสุดสวยที่เห็นในจอทีวี แต่อยากมีรูปร่างดีเมื่อแต่งตัวไปพบปะผู้คนอื่น ซึ่งก็เป็นธรรมดาไม่แปลกเกินเลยอะไรไป หลายคนเลยหันไปพึ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีความสามารถช่วยบังคับรูปร่าง อาจจะเป็นชุดชั้นในทั้งบนและล่างที่ช่วยบังคับเสริมหุ่นให้ดูดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความสามารถในการเก็บพุงให้เข้าที่ดูงาม

แต่การใช้ชุดชั้นในเหล่านั้นที่ออกจะเกินพอดีไปหน่อย อาจจะรัดพุงแน่นมากจนแทบจะหายใจไม่ออก ซ้ำร้ายทำให้เกิดแรงบีบในช่องท้อง กรดในกระเพาะอาหารของเราก็จะถูกบีบขึ้นไปด้านบนจนเกิดการแสบร้อนที่ยอดกระเพาะอาหาร หรือไม่ก็ทำให้กระเพาะอาหารทำงานไม่เต็มที่ เกิดแก้สในกระเพาะจนต้องเรอบ่อยๆ บางทีคิดว่าป่วยเป็นอะไรมากมายแต่ก่อนจะวิ่งไปพบแพทย์ก็ลองตรวจดูความแน่นของบรรดาเสื้อผ้าก่อนเลยค่ะ ลดความอัดแน่นลงสักนิดอาจจะแก้ปัญหาได้รวดเร็วก็ได้นะคะ

ผมแตกปลายซ่อมกันไม่ได้

ผมแตกปลายซ่อมกันไม่ได้

เพื่อนสาวๆ อาจจะมีปัญหาสารพัดอย่างเกี่ยวกับเรื่องของความสวยความงาม อย่างหนึ่งในนั้นก็คือบรรดาปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม ทั้งผมแห้งหรือมันเกินไป ผมบางไม่มีน้ำหนักหรือชี้ฟู และหนึ่งในนั้นก็คือผมแตกปลายที่ดูจะเป็นปัญหาของเพื่อนๆ ผู้หญิงหลายคนเลยทีเดียว

เมื่อมีปัญหาผมแตกปลาย เพื่อนหญิงหลายคนอาจจะพยายามแก้ปัญหากับเส้นผมที่มีอยู่นั้น แต่ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยว่า เมื่อเส้นผมแตกปลายจริงๆ แล้วการแก้ไขส่วนปลายของเส้นผมนั้นให้ดีดังเดิมแทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นสำหรับปัญหาเส้นผมแตกปลายแล้วสิ่งดีที่สุดที่เราสามารถจัดการได้ก็คือการป้องกันแทนที่จะทำการแก้ไข คือ หลีกเลี่ยงการสระมากเกินไป หรือด้วยแชมพูที่แรงเกินไป ไม่เช็ดผมด้วยผ้าอย่างรุนแรงเกินไป และหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนในการเสริมแต่งทรงผมเกินไป วิธีเดียวที่พอจะลดผมแตกปลายให้ปรากฏน้อยลงได้ก็คือการเล็มบริเวณปลายทิ้งไป หรือการแก้ไขปัญหาผมแตกปลายอย่างเฉพาะหน้าแบบชั่วคราวก็คือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีขี้ผึ้งหรือซีรั่มผสมอยู่ในบริเวณปลายเส้นผมเพื่อทำให้การแตกปลายดูราบเรียบขึ้นค่ะ

อย่าลืมนะคะ การป้องกันเส้นผมแตกปลายนั้นง่ายกว่าการแก้ไข ดังนั้นต้องระวังให้ดีเพื่อเส้นผมสวยๆ ของเรานะคะ

คุณดูแลเส้นผมผิดๆ อยู่หรือเปล่า

คุณดูแลเส้นผมผิดๆอยู่หรือเปล่า


เส้นผมของสาวๆ ทำให้หน้าตาและรูปร่างดูดีขึ้นได้ แต่เชื่อหรือเปล่าคะว่ามีสาวๆ อีกจำนวนมากที่ดูแลกันแบบผิดๆ โดยไม่รู้ตัว การดูแลเส้นผมแบบผิดๆ นี้ก็ด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง (คงไม่มีใครที่ตั้งใจดูแลเส้นผมของตัวเองแบบไม่ดีหรอกจริงไหมล่ะคะ) ไม่ว่าจะเป็นการสระผมทุกวันเพื่อทำให้เส้นผมดูมีน้ำหนัก หรือการอยู่หน้ากระจกแล้วพยายามถอนคิ้วเพื่อให้มีรูปร่างสวยที่สุดเป็นต้น แต่เมื่อรู้ความจริงเรื่องนี้แล้วการแก้ไขนั้นง่ายมาก รวมทั้งอาจจะช่วยประหยัดเงินขึ้นด้วยซ้ำไป ลองดูกันดีกว่านะคะว่าการดูแลเส้นผมแบบผิดๆ นั้นมีอะไรบ้าง
  • สระผมบ่อยเกินไป
สาวๆ อาจจะมีความเชื่อว่าการสระผมทุกวันจะทำให้เส้นผมจะอาดและอยู่ในสภาพสมบูรณ์เลิศเลอเพอร์เฟ็ค แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะคะ การสระผมบ่อยเกินไปเป็นการชะล้างเอาน้ำมันธรรมชาติที่เคลือบเส้นผมอยู่ออกไปและนั่นเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
  • ใส่ครีมนวดผมมากเกินไป
หลายๆ คนพยายามใส่ครีมนวดผมมาก โดยอาจจะมากเท่าหรือมากกว่าปริมาณแชมพูที่ใส่ลงไปบนเส้นผมตอนที่สระผม แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นเลยเพราะครีมนวดผมส่วนเกินก็ไม่ได้ทำงานอะไรได้ (ได้แต่สะสมอยู่ด้านบนแต่ไม่ได้สัมผัสกับเส้นผมด้วยซ้ำไปก็มี) และที่สำคัญก็คือเส้นผมทั้งเส้นไม่ได้ต้องการครีมนวดผมที่เท่ากัน เส้นผมบริเวณโคนเป็นบริเวณที่เพิ่งเกิดขึ้นมาดังนั้นจะมีสุขภาพดีและไม่ได้ต้องการการบำรุงมากนัก ผิดกับเส้นผมที่อยู่ตรงกลางหรือปลายเส้นที่ต้องการการบำรุงมากกว่า ดังนั้นเวลานวดผมจึงควรใส่ใจบริเวณปลายเส้นผมเป็นหลักค่ะ
  • ผูกผมม้าบริเวณเดิมๆ ตลอด
สาวบางคนชอบผูกผมม้า ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติอะไร แถมบางคนผูกแล้วอาจจะดูหน้าเด็กก็ได้ แต่การผูกผมม้าแน่นๆ ที่เดิมๆ อยู่ตลอดเวลานั้นแย่มากเพราะเส้นผมเดิมๆ จะถูกดึงถูกรั้งอยู่ทุกครั้งไปทำให้มีแรงตึงมากเกินไปและอ่อนแอลง ควรจะให้เขาพักและเปลี่ยนไปที่อื่นบ้างนะคะ
  • หวีผมผิดวิธี
การหวีผมนั้นดี แต่ถ้าหวีมากเกินไปนั้นจะทำลายเส้นผมได้ ที่สำคัญคือต้องเลือกใช้หวีที่ดี ไม่มีคมเล็กๆ (ที่มองยากด้วยตาเปล่าด้วยซ้ำ) หวีที่ไม่ดีจะทำลายเกล็ดผมและทำให้เส้นผมขาดได้ในที่สุด นอกจากนั้นการหวีผมในขณะที่เส้นผมยังเปียกด้วยหวีซี่ละเอียดก็เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงด้วย เพราะเส้นผมที่เปียกจะอ่อนแอทำให้ขาดได้ง่าย
  • เป่าผมในขณะที่ผมเปียก
นี่เป็นเรื่องที่เรามักจะทำกันผิดๆ แต่เป็นสิ่งต้องห้ามเลยนะคะ ผมที่เปียกกับเครื่องเป่าหรือหนีบผมร้อนๆ นั้นไปด้วยกันไม่ได้หรอกค่ะ ของร้อนสามารถทำลายรูขุมขนที่กำลังเปียกอยู่ได้ง่าย ทำให้เส้นผมอ่อนแอและขาดง่าย ก่อนจะเป่าผมหรือหนีบผมด้วยความร้อนใดๆ ต้องปล่อยให้เส้นผมแห้งเสียก่อนค่ะ

ถ้าเพียงเพื่อนสาวๆ หลีกเลี่ยงการดูแลเส้นผมแบบผิดๆ ตามด้านบนได้ ก็จะทำให้ผมดูดีขึ้นได้มากแล้วล่ะค่ะ และอย่าลืมส่งเรื่องดีๆ แบบนี้ให้เพื่อนผู้หญิงอื่นๆ ได้อ่านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

น้ำมันใส่ผมจำเป็นหรือไม่

น้ำมันใส่ผมจำเป็นหรือไม่

ในบรรดาเครื่องสำอางของผู้หญิงเรา นอกจากของที่ต้องใช้บนใบหน้าหรือผิวในส่วนต่างๆ แล้ว ยังมีอีกส่วนหนึ่งของร่างกายที่ต้องงดูแล นั่นก็คือเส้นผมของเรานั่นเอง อันที่จริงแล้วเส้นผมก็มีหน้าที่ตามธรรมชาติในการปกป้องผิวหนังศีรษะของเราจากบรรดาน้ำ ฝุ่นละออง และของแข็งของมีคมต่างๆ (นึกภาพกลับไปสมัยเรายังเป็นมนุษย์ถ้ำกันอยู่ อาจจะเดินเข้าป่าไปชนกับกิ่งไม้ เส้นผมที่หนาก็จะช่วยบรรเทาการบาดเจ็บได้) แต่มาในปัจจุบันนี้ เส้นผมที่ดูมีสุขภาพดีบวกกับการแต่งผมที่เหมาะสมก็ช่วยทำให้ผู้หญิงดูดีขึ้นได้อีกด้วย

น้ำมันใส่ผมจำเป็นในสิ่งเหล่านี้

เครื่องบำรุงผมมีหลายประเภท และสิ่งที่เราคิดถึงเป็นเรื่องท้ายๆ หรือแม้แต่ลืมไปเลยก็คือน้ำมันบำรุงเส้นผม (hair oil) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเส้นผมหลายคนล้วนแนะนำให้เราใช้้น้ำมันใส่ผมกันทั้งสิ้นแต่เหตุผลที่แท้จริงมักจะอยู่เกินเลยจากที่เราคิดกัน เพราะน้ำมันเหล่านี้จะช่วยทำหน้าที่หล่อลื่นปรับสภาพเส้นผมให้ดีขึ้นป้องกันผมพันกัน น้ำมันจะเป็นสารเคลือบเกล็ดผมทำให้สิ่งแปลกปลอมแทรกเข้าไปได้ยากขึ้นและป้องกันความร้อนไปในตัว นอกจากนี้น้ำมันใส่ผมมักมีกรดไขมันต่างๆ ที่ทำหน้าที่ทดแทนสารไขมันบนเส้นผมของเราที่หากขาดไปจะทำให้เส้นผมบอบบางและเสี่ยงต่อการแตกปลายได้

สิ่งที่น้ำมันใส่ผมอาจจะไม่ได้ช่วยเราเท่าไร

อย่างไรก็ตาม น้ำมันใส่ผมไม่ได้ช่วยทำให้เส้นผมยาวเร็วขึ้น และถ้าผู้ใช้มีปัญหาเกี่ยวกับ รังแค ก็ไม่ควรใช้น้ำมันใส่ผมเนื่องจากจะทำให้โอกาสที่บรรดาเชื้อราจะเจริญเติบโตบนหนังศีรษะมีมากขึ้น แต่ถ้าเส้นผมของเราแห้งเราก็สามารถใช้น้ำมันเหล่านี้ช่วยบำรุงทำให้มีน้ำหนักและเงางามขึ้น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องชะโลมไปจนถึงโคนเส้นผมเพราะหนังศีรษะของเราสามารถสร้างน้ำมันจากต่อมน้ำมันใกล้โคนผมได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นบริเวณโคนเส้นผมก็ไม่ต้องไปช่วยใส่น้ำมันใส่ผมลงไปหรอกค่ะ

การใส่น้ำมันใส่ผมจะช่วยทำให้เส้นผมชุ่มชื้นและป้องกันการพันกันและหยิกงอ ทำให้เนื้อเส้นผมที่ถูกย้อมและทำสีดีขึ้น อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจไว้ก่อนว่าน้ำมันใส่ผมคงไม่ได้ช่วยให้รูขุมขนของเส้นผมแข็งแรงขึ้น ดังนั้นเราก็ยังคงต้องไม่ทารุณกับเส้นผมของเราแรงๆ เหมือนเดิม และถ้าสาวๆ อยากลองใช้น้ำมันกับเส้นผมสวยๆ ของตัวเองล่ะก็ลองดู วิธีการเลือกน้ำมันใส่ผม ได้นะคะ

ใช้น้ำมันใส่ผมให้ไม่เหนียวเหนอะหนะ

ใช้น้ำมันใส่ผมให้ไม่เหนียวเหนอะหนะ

ปัจจุบันมีสารพัดผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเส้นผมให้เลือกใช้เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด และหลายอย่างก็ช่างทำให้สับสนมากว่าจะใช้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่เลือกใช้แล้วไหนจะวิธีและจำนวนที่จะต้องใช้อีก การใชน้อยเกินไปก็ทำให้ไม่ได้ผลอะไร แต่เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่างมากเกินไปก็ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติอก สำหรับสาวๆ ที่มีเส้นผมเล็กบางแล้วชอบใส่น้ำมันใส่ผมก็อาจจะกลัวเส้นผมดูเหมือนชุบด้วยน้ำมัน (จะว่าไปก็เพราะคงไม่มีใครมีเวลาไปสระออกเวลาใส่น้ำมันพวกนี้มากกินไปหรอก จริงไหมคะ) มาดูวิธีต่างๆ ในการใช้งานน้ำมันใส่ผมพวกนี้ให้ได้ผลดีและไม่สร้างปัญหาอื่นกันดีกว่าค่ะ

ใช้ระหว่างการอาบน้ำ

หลังจากทำให้ผมเปียกแต่ก่อนใส่แชมพูสระผม ใส่น้ำมันลงบนปลายเส้นผม จะเป็นการช่วยลดการแตกปลายของเส้นผมและทำให้ปลายเส้นผมที่กรอบแห้งดูนิ่มนวลลง หลังจากทิ้งไว้ 1-2 นาทีน้ำมันจะซึมมเข้าในเส้นผม จากนั้นก็จัดการสระผม เส้นผมก็ไม่มีทางเป็นมันเยิ้มจากน้ำมันที่เราใส่เข้าไปแล้วค่ะ

ถ้าไม่มีเวลาหนีบผม

เครื่องหนีบผมไฟฟ้าจะช่วยทำให้เส้นผมตรงขึ้นได้ แต่ถ้าไม่มีเวลาใช้เครื่องพวกนี้ ให้ใส่น้ำมันใส่ผมจำนวนเล็กน้อยก่อนหรือหลังการเป่าผมให้แห้งก็จะช่วยลดการหยิกงอลงได้

ทิ้งไว้ในขณะนอนหลับ

เพื่อให้ได้เส้นผมที่สามารถจัดการจัดทรงได้ง่ายในตอนเช้าโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือที่มีความร้อนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเป่าผม เครื่องหนีบผม หรืออะไรก็ตาม ให้ใช้น้ำมันใส่ผมแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน ใส่น้ำมันประมาณเท่าเหรียญบาทลงที่รากผมแล้วลูบมาทางปลายผม บิดเกลียวเส้นผมแล้วม้วนเป็นมวยเอาไว้ เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะได้เส้นผมที่ชุ่มชื้นและเป็นลอนอ่อนๆ ในตอนเช้าค่ะ

ดื่มน้ำช่วยลดน้ำหนัก


สาวๆ ทุกคนคงทราบอยู่แล้วว่าน้ำเป็นประโยชน์ต่อ่ชีวิตและสุขภาพของเรา เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากน้ำ การดื่มน้ำมากทำให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส น้ำจะช่วยทำให้เลือดใสลงเล็กน้อยทำให้หัวใจทำงานง่าย ไม่ปวดศีรษะ การดื่มน้ำยังทำให้การขับถ่ายได้สะดวกอีกด้วย

แต่คงไม่มีใครทราบมากนักว่าการดื่มจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ แต่คิดดูง่ายๆ ว่าถ้าเราดื่มน้ำเข้าไปมากๆ เราก็คงไม่สามารถรับประทานอาหารอะไรได้มากนัก เรียกว่าน้ำเข้าไปจับจองพื้นที่ในกระเพาะอาหารเรียบร้อยก่อนอาหารอย่างอื่นทำให้ไม่สามารถรับประทานอะไรเข้าไปได้มากนัก

วิธีการดื่มน้ำช่วยลดน้ำหนัก

ดื่มน้ำก่อนทานอาหารประมาณ 3/4 ถึง 1 ลิตร โดยต้องเป็นน้ำเปล่า ไม่ใช่น้ำหวานหรือน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลอยู่ด้วยนะคะ ถ้าทำแบบนั้นแทนที่จะเป็นการดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนักอาจจะเป็นการดื่มน้ำหวานเพื่อเพิ่มน้ำหนักไป ถ้าอยากเพิ่มรสชาติให้น้ำเปล่าที่ดื่มเข้าไปก็อาจจะบีบมะนาวหรือน้ำผลไม้ลงไปเล็กน้อยพอมีรสและกลิ่น แล้วก็จัดการดื่มเข้าไปได้เลย
ทำเช่นนี้ให้เป็นประจำ จะได้ทั้งสุขภาพที่ดีและลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำได้ด้วยนะคะ