วงการแพทย์ที่เกี่ยวกับความสวยความงามนั้นพัฒนาก้าวไกลมามากในปัจจุบัน เรียกได้ว่าสามารถเนรมิตใครบางคนที่หน้าตาธรรมาดให้สวยหล่อได้ไม่ยากเลย (ถ้าทนเจ็บได้กับมีเงินนะคะ) รวมทั้งสิ่งหนึ่งที่วงการแพทย์ด้านความงามให้ความสนใจด้วยก็คือความเต่งตึงไร้รอยเหี่ยวย่นของผิวหน้า ตรงนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีของฟิลเลอร์ (facial filler) ขึ้นมาฟิลเลอร์คืออะไร
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็สร้างสารที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นของผิวน้อยลงไปทุกที เมื่อผิวมีความยืดหยุ่นน้อยลงริ้วรอยก็เกิดขึ้นได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นรอยบุ๋มลงไป รอยตีนกา รอยย่นต่างๆ แต่วิธีหนึ่งที่เราสามารถฟื้นฟูผิวให้กลับเต่งตึงได้ก็คือการฉีดสารที่เรียกว่าฟิลเลอร์ (facial filler) ลงไป ซึ่งผลของการฉีดฟิลเลอร์ต่างๆ ก็คือต้องการฟื้นฟูผิวเพื่อให้ริ้วรอยต่างๆ ลดหายไป รวมทั้งอาจจะมุ่งหวังทำให้ริมฝีปากอวบอิ่มขึ้นด้วยก็ได้
มีฟิลเลอร์อะไรบ้างในปัจจุบัน
ในปัจจุบันมีฟิลเลอร์สำหรับฉีดเข้าผิวหนังบริเวณใบหน้า (หรือที่เรียกว่า facial filler) จำนวนมากมายหลายชนิด ตัวอย่างก็เช่น
- คอลลาเจนแบบของมนุษย์ที่สร้างได้ในห้องปฏิบัติการ (เช่น CosmoDerm, CosmoPlast)
- คอลลาเจนมนุษย์ที่มาจากเนื้อเยื่อของคน (เช่น Cymetra)
- สารประเภทกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) ซึ่งดึงของเหลวเข้าบริเวณที่ทำการรักษา มีความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย เร่งขบวนการหายของแผล (เช่น Restylane, Juvederm, Captique)
- คอลลาเจนจากวัว (เช่น Zyplast, Zyderm) ซึ่งก่อนการใช้งานจะต้องมีการทดสอบอาการแพ้ก่อนเป็นเวลา 4 สัปดาห์
- เซลล์ไขมันที่ทำการเพาะมาจากร่างกายของคนๆ นั้น
- โพลีเมอร์แบบสลายตัวได้ที่ได้รับการสังเคราะห์ขึ้น (เช่น Sculptra)
- แคลเซียมไฮดรอกซิลอะพาไทท์ (calcium hydroxylapatite) ที่เป็นสารที่กระตุ้นให้เซลล์อ่อนเปลี่ยนเป็นกระดูกได้ (เช่น Radiesse)
สำหรับฟิลเลอร์บางชนิดแล้ว จะต้องมีการทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นชาเสียก่อน (บางทีก็มีการผสมยาชาเข้ากับคอลลาเจนไว้ด้วย) จากนั้นแพทย์จะทำการฉีดสารฟิลเลอร์เข้าใต้ผิวหนัง จะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการทำแต่ละครั้ง ซึ่งฟิลเลอร์บางชนิดก็จะต้องกลับมาทำซ้ำเช่นทุกๆ หลายสัปดาห์เป็นต้น
ในบทความคราวหน้า เราจะมาคุยกันเรื่องฟิลเลอร์กันต่อ คอยติดตามนะคะ
