เซลล์ผิวของเราที่อยู่ด้านนอกสุด ต้องทนทุกข์กับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เราผ่านไปในชีวิตประจำวัน เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสภาพทรุดโทรมลง ส่วนมากแล้วเซลล์เหล่านี้ก็จะหลุดออกไปจากผิวของเราได้เอง แต่บางครั้งก็ไม่เป็นอย่างนั้นสมบูรณ์นัก การลอกผิว (exfoliate) ด้วยวิธีต่างๆ ทั้งทางกลคือการสครับ ขัด ถู หรือด้วยสารเคมีคือกรดธรรมชาติอ่อนๆ ก็ช่วยทำให้เซลล์เหล่านี้หลุดไปได้ดีขึ้น เมื่อเซลล์เก่าถูกลอกออกไป เซลล์ใหม่ก็จะได้โอกาสขึ้นมาแทนที่ ทำให้ผิวพรรณดูผ่องใสไม่เหี่ยวเฉาเหมือนตอนที่เซลล์เก่าหมดอายุปกปิดผิวของเราอยู่ แต่คราวนี้อาจจะมีคำถามว่า แล้วการลอกผิวอย่างนี้จะทำบ่อยได้ขนาดไหน ทำบ่อยจะมีผลเสียอะไรหรือเปล่า ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นเราน่าจะมามองดูประโยชน์ของเจ้าเซลล์เหี่ยวๆ เฉาๆ ใกล้ตายก็ยังพอมีประโยชน์บ้างนะครับ คือคอยป้องกันผิวเราจากสภาวะแวดล้อมและเชื้อโรคต่างๆ นั่นเอง เรียกว่าสละชีพไปแล้วก็ยังทำหน้าที่ต่อ อะไรประมาณนั้นล่ะค่ะ
ควรลอกผิวบ่อยแค่ไหน
ดังนั้นการลอกผิว ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไปนัก แทนที่จะขัดลอกกันทุกวันซึ่งไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนัก (เพราะเซลล์ผิวยังไม่ตาย ยังเป็นของดีอยู่) ก็ขัดลอกสักสองสัปดาห์ต่อครั้งกำลังดี เพราะเป็นเวลาที่เซลล์ผิวเริ่มหมดอายุพอดีค่ะ
ควรลอกผิวอย่างไร
นอกจากความถี่ในการลอกผิวแล้ว อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือวิธีการลอกผิวนั่นเอง การลอกผิวหน้า (face scrub) จะต้องระวังให้มากเนื่องจากในสครับบางชนิดอาจจะมีชิ้นหรือผงที่ค่อนข้างแข็ง อาจจะทำอันตรายกับเนื้อของใบหน้าได้ ดังนั้นอาจจะใช้การลอกด้วยเคมีแทน (สำหรับบริเวณใบหน้า) เช่นใช้กรดผลไม้ (AHA) หรือไกลโคลิก หรือแลกติกก็ได้ หรือจะให้ดีก็มองหาผลิตภัณฑ์ที่บ่งบอกว่าสามารถใช้เป็นประจำทุกวันได้ (ซึ่งเราก็จะไม่ใช้ทุกวันอยู่ดี) การลอกผิวด้วยสารเคมีอาจจะทำให้รู้สึกคันเล็กน้อยตอนทำ และถ้าหลังจากการทำมีอาการแดงหรือระคายเคือง แสดงว่าตัวยานั้นแรงเกินไป ก็อาจจะต้องหายี่ห้อที่นุ่มนวลกว่านะคะ