การสักคิ้ว


คิ้วเป็นส่วนประกอบหนึ่งบนใบหน้าซึ่งจริงๆ แล้วมีหน้าที่ตามธรรมชาติของมันคือป้องกันเหงื่อหรือหยดน้ำต่างๆ ที่อาจจะมีของเสียหรือไม่สะอาดปะปนอยู่ไหลเข้าตาของเรา อย่างไรก็ตามในเมื่อมันมาอยู่บนใบนหน้าของสาวๆ เราที่คนจำนวนมากมายต้องมองเห็นแล้ว มันก็จะต้องทำหน้าที่ทำให้ใบหน้าดูดีไปด้วย

ผู้หญิงหลายคนก็ใช้วิธีแต่งเสริมเติมแต่งคิ้วเป็นประจำทุกวัน เรียกว่าผนวกอยู่กับขั้นตอนของการแต่งหน้าไปด้วยในทุกๆ เช้า สำหรับสาวๆ ที่มีคิ้วค่อนข้างปกติคือมีเส้นขนคิ้วจำนวนพอประมาณขึ้นไป ก็คงไม่เดือดร้อนอะไรมากนัก แต่สำหรับผู้ที่คิ้วบางมากหรืออาจจะมีแนวขนคิ้วที่ไม่เข้ารูปกับใบหน้าของเรา ก็คงต้องหาวิธีจัดการในการแต่งเติมให้ดูดีขึ้น และหนึ่งในนั้นนอกจากการถอน ตัดแต่ง และเสริมสวยขนคิ้ว (ด้วยปากกาเขียนคิ้วตามปกติ) แล้ว ก็คือการสักคิ้วนั่นเอง

การสักคิ้วแบบดั้งเดิม

หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีการสักคิ้วเกิดขึ้น แรกเริ่มก็เป็นการใช้เครื่องสักที่จะใส่สีซ้ำๆ ลงในผิวหนังซึ่งเป็นวิธีที่ออกจะดั้งเดิม (ก็โบราณนั่นล่ะค่ะ) ข้อดีก็คือติดสนิททนนานเหลือเกินแต่หากฝีมือไม่ดี หรือใช้สีที่คุณภาพไม่ดีก็คงได้คิ้วสีออกเขียวๆ แปะอยู่บนใบหน้าไปอีกนาน นอกจากนั้นก็จะไม่มีความเป็นลายเส้นคิ้วแบบที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ดูอย่างไรก็มองออกได้ง่ายว่าเหมือนของปลอมมากกว่าของจริง

การสักคิ้วสมัยใหม่

จากข้อเสียของการสักคิ้วแบบดั้งเดิมที่ดูเป็นปื้นๆ ก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น โดยการใช้เครื่องมือที่ออกแบบใหม่ มีปลายเข็มหรือปากกาที่เรียงกันเป็นแนว (อาจจะเรียกได้ว่าเป็นใบมีดก็ได้) และช่างที่ทำการสักจะต้องมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือทำการวาดเส้นคิ้วทีละเส้น ทำให้ดูนุ่มนวล ละเอียด มีเส้นคิ้วเป็นเส้นแยกจากกันไม่เป็นปื้นแบบที่เคยจนเรียกว่าเป็นการสักคิ้วแบบสามมิติเพราะมีความกว้าง ยาว และความลึกนั่นเอง

เท่านั้นยังไม่พอ

หลังจากที่พัฒนามาระดับหนึ่งจนกลายเป็นการสักคิ้วแบบสามมิติแล้ว ก็มีการต่อยอดขึ้นไปอีกโดยแทนที่จะเป็นการวาดลายเส้นคิ้วที่มีความยาวเท่าๆ กัน ก็มีการแทรกเส้นคิ้วขนาดเล็กและ/หรือสั้นลงในบริเวณที่ว่างของเส้นคิ้วที่ยาวกว่า โดยต้องสลับใช้ใบมีดที่เล็กบ้างใหญ่บ้างในการจัดการวาดเส้นคิ้วเหล่านี้ลงไปเหมือนกับการวาดเส้นคิ้วแบบสามมิติลงไปสองรอบนั่นเอง ผลที่ได้คือเส้นคิ้วที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะกับคนที่ขนคิ้วบางมากๆ และเป็นที่มาของการเรียกว่าการสักคิ้วแบบ 6 มิตินั่นเองค่ะ