วีธีเลือกตะไบเล็บ


ในบรรดาเครื่องมือสำหรับแต่งเติมเสริมความงามของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องสำอางหรือเครื่องมือประกอบเช่น แปรง ดินสอ พู่กัน หวี และอื่นๆ อีกมาก ยังมีอีกหนึ่งอย่างที่เรามักจะต้องใช้กันก็คือ ตะไบเล็บ ซึ่งถ้าดูตามร้านที่จำหน่ายที่มีขนาดใหญ่สักหน่อยจะเห็นว่ามีให้เลือกอยู่ไม่น้อย แล้วเราทราบหรือไม่ว่ามันแตกต่างกันอย่างไรและเราจะเลือกอย่างไร มาดูกันดีกว่าค่ะ

แต่ก่อนที่เราจะลงไปในรายละเอียดว่าตะไบเล็บนั้นมีประเภทไหนบ้าง เรามาดูสิ่งหนึ่งที่สำคัญ (กับตะไบทุกประเภทด้วยก็ว่าได้) กันหน่อยก็คือ ความหยาบหรือละเอียด ของตะไบเล็บนั้น ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วเราจะเรียกเป็นสากลว่า กริท (grit) ที่จะเป็นตัวบอกว่าตะไบเล็บนั้นละเอียดหรือหยาบอย่างไรและแน่นอนว่าต้องเกี่ยวพันกับการเลือกตะไบเล็บของเราด้วย โดยทั่วไปแล้วถ้าตัวเลขกริทมีค่าน้อยตะไบนั้นจะหยาบ และถ้าตัวเลขกริทมากขึ้นตะไบก็จะละเอียดขึ้น มาดูตัวอย่างของกริทกับการใช้งานกันค่ะ

ความหยาบหรือละเอียดของตะไบเล็บ
  • 80 กริท: เป็นตะไบที่หยาบมากและไม่ควรใช้กับเล็บธรรมชาติ เราอาจจะเลือกตะไบหยาบขนาดนี้กับเล็บปลอมได้ในบางครั้ง แต่แม้กับเล็บปลอมก็ตาม ความหยาบขนาดนี้ก็อาจจะหยาบเกินไปด้วยซ้ำ
  • 100 กริท: ยังเป็นตะไบที่อยู่ในขั้นที่เรียกว่าหยาบ ซึ่งก็ควรใช้กับเล็บปลอมเท่านั้น
  • 180 กริท: เป็นความหยาบมากที่สุดที่ควรใช้กับเล็บธรรมชาติของเรา แต่ถ้าเล็บของเรามีอาการฉีกขาดบริเวณปลายได้ง่าย ก็ควรใช้ตะไบที่ละเอียดกว่านี้อีก ความหยาบขนาดนี้มีไว้สำหรับการตะไบเพื่อทำให้เล็บสั้นลงอย่างรวดเร็ว
  • 240 กริท: เป็นตะไบที่มีความละเอียดปานกลาง ให้ความรู้สึกนุ่มนวลในการใช้ ใช้ในการขัดหรือตะไบเพื่อกำจัดเศษเล็บออกหรือใช้แต่งเป็นชั้นสุดท้ายเพื่อให้เกิดความเรียบ
  • 500 กริท: เป็นตะไบที่เรียกได้ว่าละเอียดมาก อาจจะละเอียดเกินกว่าที่จะใช้เปลี่ยนรูปร่างของเล็บได้ ความละเอียดขนาดนี้เราไว้ใช้ในการขัดเล็บให้เป็นมันเงาค่ะ
นอกจากนี้ก็ยังมีตัวเลขความละเอียดของตะไบเล็บที่อยู่ระหว่างตัวเลขที่ยกมานี้อีก แต่โดยหลักการแล้วก็คือถ้าตัวเลขกริทมีค่าน้อยตะไบนั้นจะหยาบ และถ้าตัวเลขกริทมากขึ้นตะไบก็จะละเอียดนั่นเอง

ชนิดของตะไบเล็บ

หลังจากที่เราได้รู้จักกับความหยาบหรือละเอียดของตะไบเล็บแล้ว เราก็มาดูกันต่อที่ตะไบเล็บชนิดต่างๆ เพราะปัจจุบันจะมีตะไบเล็บให้เราเลือกมากมาย โดยหลักแล้วก็คือทำมาจากวัสดุต่างกัน และมีความละเอียดต่างกัน เมื่อผสมรวมกันเข้าก็เลยมีเครื่องมือที่เรียกว่าตะไบเล็บให้เราเลือกซื้อมากมายจนเลือกไม่ถูกนั่นเอง เราค่อยๆ มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างนะคะ

1) ก้อนฝนเล็บ (buffing block)

ดูหน้าตาลักษณะแล้วคงผิดไปจากตะไบพอสมควร เพราะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมยาวๆ ที่แต่ละด้านมีส่วนของผิวที่มีความหยาบต่างกัน แต่ที่ดีก็คือบางผู้ผลิตอาจจะพิมพ์เอาไว้ว่าแต่ละส่วนนั้นมีไว้ทำอะไร แต่ก็มักไม่เขียนไว้ว่ามีขนาดกริทเท่าไร และการใช้งานกับเล็บทุกเล็บรวมทั้งซอกซอนต่างๆ กันก็อาจจะดูไม่สะดวกเท่าไร เรียกได้ว่าก้อนฝนเล็บนี้สามารถใช้แต่งเล็บได้ทั่วไป แต่ถ้าในมุมที่ละเอียดขึ้นล่ะก็คงต้องใช้เครื่องมืออื่นมาช่วย

2) ตะไบแบบกระดาษทราย (emery board)

ตะไบแบบนี้มีลักษณะเป็นแผ่นขัดที่โรยไว้ด้วยผลึกแร่ที่มีความคม มักจะพิมพ์เลขกริทเอาไว้ให้เห็นชัดเจน สองด้านของแผ่นขัดอาจจะมีกริทที่ไม่เท่ากัน นั่นคือด้านหนึ่งหยาบกว่าอีกด้านหนึ่ง บางทีอาจจะเป็น 100/180 กริทที่เราใช้ด้าน 180 กับเล็บธรรมชาติและด้าน 100 กับเล็บปลอม ตะไบแบบกระดาษทรายมีหลายความหยาบ/ละเอียดให้เลือกซื้อ ถ้าต้องการที่ละเอียดสักหน่อยก็เลือก 220 กริทก็จะได้แบบที่ละเอียดแล้ว

3) ตะไบกระดาษทรายแบบใช้แล้วทิ้ง (disposable emery board)

เป็นแบบที่เราซื้อทีละหลายๆ อัน หรือกล่องหนึ่งอาจจะมี 10 ชิ้นก็ได้ เป็นแบบที่ไม่คงทนคือเมื่อใช้ไปสัก 3-4 ครั้งก็จะหมดความคมและต้องทิ้งไป ตะไบเล็บแบบนี้มักจะไม่พิมพ์บอกว่ามีค่ากริทเท่าไรแต่มักจะค่อนข้างหยาบกับการใช้กับเล็บธรรมชาติ

4) ตะไบเล็บแบบแก้ว (glass/crystal)

สร้างจากแผ่นแก้วที่ได้รับการแปรสภาพให้มีความเหนียวและทนต่อการแตกหักเป็นพิเศษ และสร้างผิวให้หยาบด้วยเทคนิคต่างๆ จึงสามารถใช้ได้อย่างทนทาน และมีกริทที่ละเอียดมากได้ มักถูกเรียกว่าเป็นแบบที่เป็นที่สุดของตะไบเล็บ อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเพราะเราสามารถซื้อตะไบแบบกระดาษทรายที่มีความละเอียดเท่ากันก็จะได้ผลเหมือนกันในราคาที่ถูกกว่ามาก ตะไบเล็บแบบนี้มักจะมีความละเอียดมากซึ่งอาจจะเหมาะกับการทำความสะอาดตามขอบมุมของเล็บ แต่คงไม่เหมาะกับการตะไบเพื่อเปลี่ยนรูปร่างของเล็บเพราะจะใช้เวลานานมากในการทำงาน

5) ตะไบโลหะ (metal)

เป็นแบบที่เราเห็นกันเป็นประจำเพราะติดมากับชุดทำเล็บต่างๆ เสมอ เหตุผลอาจจะเป็นเพราะต้นทุนต่ำและทนทาน แต่ขอบอกว่าไม่เหมาะกับเล็บสวยๆ ของสาวๆ เราเลยเพราะมันแข็งมากๆ สำหรับเล็บธรรมชาติและสามรถทำให้เล็บเสียหายมากกว่าที่คิดเยอะเลยเชียว

เป็นอย่างไรบ้างคะ หลังจากอ่านเรื่องนี้จบเราก็คงสามารถเลือกตะไบเล็บที่ถูกต้องได้ นั่นคือต้องให้ความสำคัญกับความหยาบ/ละเอียดที่ตัวเลขกริทของมันก่อน จากนั้นก็เลือกวัสดุและความสะดวกที่ใช้ ซึ่งถ้าเราใช้งานบ่อยก็อาจจะเลือกแบบที่ใช้ได้โดยไม่ต้องโยนทิ้งก็จะประหยัดเงินได้ในระยะยาว เพียงเท่านี้เราก็จะได้ตะไบเล็บที่ไม่ทำร้ายเล็บของเราแล้วล่ะค่ะ